วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประวัติโรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่


ประวัติความเป็นมา


โรงเรียนเทพศิรินทร์  เชียงใหม่  เดิมชื่อโรงเรียนน้ำบ่อหลวงวิทยาคมได้เริ่มก่อตั้งขึ้นจากคณะสงฆ์  กำนันผู้ใหญ่บ้าน ครู พ่อค้าคหบดี  ในตำบลสันกลาง ตำบลบ้านแม และตำบลยุหว่า  ซึ่งได้มีความเห็นร่วมกันว่า สมควรจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำตำบลขึ้นโดยใช้พื้นที่สาธารณะหน้า วัดวนารามน้ำบ่อหลวง หมู่ที่ 5 ตำบลสันกลาง (หมู่ที่ 2 ตำบลน้ำบ่อหลวงในปัจจุบัน)  โดยได้เสนอผ่านอำเภอสันป่าตอง    ตามหนังสือที่   ชม.61/4520  ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน  2521 และกรมสามัญศึกษาได้ประกาศให้ตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำตำบลขึ้น  ใช้ชื่อ " โรงเรียนน้ำบ่อหลวงวิทยาคม " ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์2522  และได้เริ่มก่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราว 2 หลัง  และห้องส้วม  ขนาด 3 ที่นั่งโดยได้รับบริจาคจากประชาชนในท้องที่ 3 ตำบล มีนายโสภา  สุวรรณศรีคำ ศึกษาธิการอำเภอในขณะนั้น  รักษาราชการแทน    ในตำแหน่งครูใหญ่   ต่อมากรมสามัญศึกษาได้ส่งนายองอาจ  เจริญเวช มาเป็นครูใหญ่  มีครู 5 คนเปิดสอน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีนักเรียนรุ่นแรก 45 คน  ต่อมาในปี 2530 ได้รับคัดเลือกเข้าในโครงการ   มพช.2 รุ่นที่ 2  จึงได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียน  โรงฝึกงาน  และปรับปรุงบริเวณ   โรงเรียนน้ำบ่อหลวงวิทยาคมได้รับการรับรองเป็นโรงเรียนต้นแบบโรงเรียนในฝันในปี พ.ศ. 2548  ปัจจุบันเปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง ปีที่ 6   เข้าร่วมเครือข่ายโรงเรียนเทพศิรินทร์  ในปีการศึกษา 2550 โดยได้รับความเห็นชอบและสนับสนุน   จากคณะกรรมการโรงเรียนเทพศิรินทร์  และสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์   ในพระบรมราชูปถัมภ์   โรงเรียนเทพศิรินทร์  เชียงใหม่   เป็นโรงเรียนเครือข่าย ลำดับที่ 8 โดยเริ่มนับจาก

                  
                   
ลำดับที่ 1               โรงเรียนเทพศิรินทร์
ลำดับที่ 2                    โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า
ลำดับที่ 3               โรงเรียนเทพศิรินทร์คลองสิบสาม  ปทุมธานี
ลำดับที่ 4               โรงเรียนเทพศิรินทร์  นนทบุรี
ลำดับที่ 5               โรงเรียนเทพศิรินทร์  พุแค สระบุรี
ลำดับที่ 6               โรงเรียนเทพศิรินทร์ลาดหญ้า  กาญจนบุรี
ลำดับที่ 7               โรงเรียนเทพศิรินทร์  ขอนแก่น
ลำดับที่ 8               โรงเรียนเทพศิรินทร์  เชียงใหม่
ลำดับที่ 9                โรงเรียนเทพศิรินทร์ ๙ ในพระบรมราชูปถัมภ์
ลำดับที่ 10              โรงเรียนเทพศิรินทร์  สมุทรปราการ

ปรัชญา
น  สิยา  โลกวฑฺฒโน  ไม่ควรเป็นคนรกโลก
คติพจน์
สามัคคี    มีวินัย   ใฝ่เรียนรู้   เชิดชูคุณธรรม

ปณิธาน
สังคมแห่งการเรียนรู้ ผลสัมฤทธิ์ดี มีคุณลักษณะพึงประสงค์ คุณภาพการศึกษาได้มาตรฐาน
วิสัยทัศน์
ภายในปี  2556  โรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่ เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ส่งผลให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากล

อัตลักษณ์
นักวิจัยบูรณาการ
เอกลักษณ์
องค์กรแห่งการเรียนรู้

ปฏิญญา
โรงเรียนเทพศิรินทร์  เชียงใหม่  มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี  มีวิสัยทัศน์ไกล  ใจกว้าง ร่างสมาร์ท มารยาทงาม
พันธกิจ
               1.  ส่งเสริมการจัดการศึกษาคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาระดับสากล  และพัฒนาผู้เรียนเต็มศักยภาพมีทักษะชีวิต
                    พัฒนาภาษาได้สร้างสรรค์
               2.  พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์   เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย  จิตใจ  สติปัญญา    ความรู้และคุณธรรม  มีจริยธรรม  และวัฒนธรรมไทยในการดำรงชีวิต  สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข  บนพื้นฐาน    ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
              3.  ส่งเสริมพัฒนาครูให้เป็นครูมืออาชีพจัดการเรียนรู้บูรณาการ   พัฒนาทักษะกระบวนการคิด   บูรณาการแบบองค์รวม ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  และมีทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
              4.  ส่งเสริมระบบบริหารจัดการ  พัฒนาประกันคุณภาพภายในโดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของบุคลากรและมีส่วนเกี่ยวข้อง
              5.  ส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือในการจัดระดมทรัพยากร แหล่งเรียนรู้   แหล่งวิทยากร  ทั้งภาครัฐ  เอกชน  และผู้เกี่ยวข้อง   เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
ที่มาของโรงเรียนเทพศิรินทร์
ในปี พ.ศ. 2419 องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุครบเบญจเพส จึงมีพระราชดำริที่จะสร้างพระอารามเพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายสนองพระเดชคุณแด่องค์พระราชชนนี คือ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดเทพศิรินทราวาสขึ้น
โรงเรียน เทพศิรินทร์ ได้รับการสถาปนาจาก องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2428 ด้วยพระราชปรารภที่จะทำนุบำรุงการศึกษาเล่าเรียนให้เจริญแพร่หลายขึ้นโดยรวด เร็วจึงมีพระบรมราชโองการให้จัดการศึกษาสำหรับราษฎรขึ้น โดยพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร (กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ได้จัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมบาลี ขึ้นภายใน วัดเทพศิรินทราวาส โดย ในช่วงแรกของการจัดตั้งโรงเรียนนั้น โรงเรียนเทพศิรินทร์ได้อาศัยศาลาการเปรียญภายในวัดเทพศิรินทราวาสเป็นที่ทำ การเรียนการสอนครั้นถึง พ.ศ. 2438 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ได้ทรงดำริที่จะสร้างตึกเรียนสำหรับวัดเทพศิรินทราวาสขึ้น เพื่ออุทิศพระกุศล สนองพระเดชพระคุณแห่งองค์ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระชนนี และเพื่ออุทิศพระกุศลแก่ หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ชายาของพระองค์ ตึกเรียนหลังแรกนี้ได้รับการออกแบบให้มีศิลปะเป็นแบบโกธิคซึ่งถือว่าเป็นอาคารศิลปะโกธิคยุคแรกและมีที่เดียวในประเทศไทยโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้ออกแบบ และในการนี้ พระยาโชฏึกราชเศรษฐี ได้บริจาคทุนทรัพย์เพื่อสร้างตึกอาคารเรียนขึ้นด้านข้างของตึกเรียนหลังแรกอีกด้วย
ตราประจำโรงเรียนเทพศิรินทร์

ภาพอาทิตย์อุทัยทอแสงบนพื้นน้ำทะเล หมายถึง ภาณุรังษีและ วังบูรพาภิรมย์โดย ภาณุรังษีนี้เป็นพระนามของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้ทรงประทานตรานี้ให้แก่โรงเรียนเมื่อปี พ.ศ. 2467 พระองค์มีพระคุณอเนกอนันต์แก่โรงเรียน อาทิทรงเป็นผู้ทูลขอให้ทรงสถาปนาโรงเรียนต่อองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการสถาปนาโรงเรียนแบบถาวรและทรงถือว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนในดูแลของพระองค์ด้วยอักษรประดิษฐ์ หมายถึง หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยาชายาอันเป็นที่รักของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึกถึงหม่อมแม้น ว่าถ้าไม่มีหม่อนแม้น การกำเนิด ตึกแม้นนฤมิตร ก็คงไม่มี ดังนั้นโรงเรียนเทพศิรินทร์ก็คงไม่มี จึงเป็นความหมายที่ควรระลึกไว้ช่อดอกรำเพย หมายถึง พระนามแห่งองค์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์พระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงสร้างพระอารามและโรงเรียนเพื่อเป็นพระราชกุศลแด่พระ บรมราชชนนี ทำเครื่องหมายดอกรำเพยไว้เพื่อให้คนรุ่นหลัง รู้ไว้ว่าพระนามเทพศิรินทร์นี้ได้มาจากพระองค์ท่าน เป็นพระนามมหามงคลยิ่งควรรักษาไว้ให้ดีสีประจำโรงเรียน คือ สีเขียวและสีเหลืองเป็นสีประจำวันพฤหัสบดี ตามตำราพิชัยสงคราม (สวัสดิรักษา) ซึ่งวันพฤหัสบดีนั้นเป็นวันประสูติของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 4 อีกทั้งยังเป็นสีของใบและดอกของต้นรำเพย ซึ่งเป็นพระนามเดิมของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี คือ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์
ดอกรำเพย จึงถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของโรงเรียนเทพศิรินทร์
พุทธสุภาษิตประจำโรงเรียน น สิยา โลกวฑฺฒโนความหมายคือ ไม่ควรเป็นคนรกโลก

บทร้องประจำโรงเรียน

อโหกุมารสถานสิขา
ณ เทพศิรินทร์ระบิลระบือ
สำเนียงจำโนษอุโฆษก็คือ
ดรุณสยามมิคร้ามวิชาฯ
สมัญญะเลิศจะเกิดไฉน
จะเกิด ณ เมื่ออะเคื้อสิขา
จะเกิด ณ คราวอะคร้าววิชา
วิปักษะขามสยามวิชัยฯ
วิถีสำรวย บ่ งวย บ่ งง
วิถีสำเริง บ่ เหลิงหทัย
วิถีสำราญ บ่ ซานจะไป
วิถีอบาย บ่ หมายจำนงฯ
วิชาวิบุลย์ดรุณจะเรียน
ประเกียรติ์จะเกิดประเสริฐประสงค์
ประเทศจะงามสยามจะยง
จะสุดวิเศษก็เหตุเพราะเพียรฯ
อโหดรุณจะครุ่นสิขา
อโหกุมารจะอ่านจะเขียน
วิชาจะเทียบจะเปรียบวิเชียร
วิเชียรก็ชู บ่สู้วิชาฯ
วิชา ฤ แล้ง ณ แหล่งสยาม
หทัยะทัยจะไตรจะตรา
หทัยะทัยจะใฝ่วิชา
วิชา ฤ แล้ง ณ แหล่งสยาม
ณ เทพศิรินทร์ ณ เทพศิรินทร์
สถานสิขาสง่าพระนาม
สำนักกิฬาสง่าสนาม
ณ เทพศิรินทร์ ณ เทพศิรินทร์
ชโย ชโย ชโย

หมีขั้วโลก
                                                               



หมีขาว หรือ หมีขั้วโลก (อังกฤษ: Polar bear, รัสเซีย: Белый медведь, ชื่อวิทยาศาสตร์: Ursus maritimus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับสัตว์กินเนื้อ (Carnivora) จัดเป็นหมีชนิดหนึ่ง

ลักษณะและที่อยู่อาศัย

หมีขาว ถือได้ว่าเป็นสัตว์กินเนื้อบนพื้นดินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 รองจากหมีกริซลีย์ (U. arctos horribilis) (บางข้อมูลจัดให้เป็นที่ 1) ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ ตัวผู้เต็มวัยอาจสูงได้ถึง 3 เมตร น้ำหนักตัวอาจมากได้ถึง 350680 กิโลกรัม (7701,500 ปอนด์) หมีขาวมีรูปร่างที่แตกต่างจากหมีชนิดอื่น ๆ ที่เห็นได้ชัดเจน คือ มีส่วนคอที่ยาวกว่า ขณะที่ใบหูก็มีขนาดเล็ก อุ้งเท้ามีขนาดใหญ่ และที่เป็นจุดเด่นเห็นได้ชัด คือ สีขนที่เป็นสีขาวครีมอมเหลืองอ่อน ๆ อันเป็นที่มาของชื่อเรียก เนื่องจากผลของเกลือในน้ำทะเล ซึ่งขนสีครีมนี้ทำให้พรางตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งได้เป็นอย่างดีหมีขาวกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะซีกโลกทางเหนือ บริเวณขั้วโลกเหนือหรืออาร์กติกเท่านั้น จัดได้ว่าเป็นสัตว์กินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในซีกโลกนี้ อุ้งเท้าของหมีขาวมีขนรองช่วยให้ไม่ลื่นไถลไปกับความลื่นของพื้นน้ำแข็ง หมีขาวถือเป็นสัตว์ที่เดินทางไกลมาก โดยบางครั้งอาจจะใช้วิธีการนั่งบนแผ่นหรือก้อนน้ำแข็งลอยตามน้ำไป หรือไม่ก็ว่ายน้ำหรือดำน้ำไป ซึ่งหมีขาวจัดเป็นหมีที่ว่ายน้ำและดำน้ำเก่งมาก โดยใช้ขาหน้าพุ้ย หรือบางครั้งก็ใช้ทั้ง 4 ขา เคยมีผู้พบหมีขาวว่ายอยู่ในทะเลที่ห่างจากชายฝั่งไกลถึง 200 ไมล์หมีขาว เป็นหมีที่ถือได้ว่ากินอาหารมากกว่าหมีชนิดอื่น ๆ ซึ่งอาหารของหมีขาวมีมากมาย เช่น แมวน้ำ หรือ วอลรัส ด้วยการย่องเข้าไปเงียบ ๆ หรือหลบซ่อนตัวตามก้อนหินหรือก้อนน้ำแข็ง นอกจากนี้แล้วบางครั้งยังอาจจับนกทะเล ทั้งไข่และลูกนก บางครั้งก็จับปลากิน หรืออาจจะกินซากของวาฬที่ตายเกยตื้น หรือแม้แต่ซากหมีขาวด้วยกันหรือลูกหมีที่ตายได้ด้วย

วิถีชีวิต

เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวในเขตอาร์กติก (ราวเดือนธันวาคม-มกราคม) ดวงอาทิตย์จะค่อย ๆ คล้อยต่ำลงเรื่อย ๆ จนไม่ปรากฏอีกเลยที่เส้นขอบฟ้าตลอดฤดูกาล ซึ่งช่วงเวลานี้นับได้ว่าเป็นช่วงที่หฤโหดที่สุดในภูมิภาคนี้ เพราะไม่มีแสงสว่าง กลางวันจะมืดเหมือนกลางคืน อาหารก็ขาดแคลน พร้อมด้วยพายุหิมะติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน
หมีขาว ในช่วงเวลานี้จะเป็นเวลาที่ให้กำเนิดลูก โดยการขุดโพรงในน้ำแข็งหรือใต้ก้อนหิน เมื่อหิมะตกทับถมมา ผนังถ้ำจะหนาขึ้น และมีความอบอุ่นคล้ายกับอิกลูของชาวเอสกิโม แม่หมีจะคลอดลูกภายในถ้ำนั้น ลูกหมีเกิดใหม่จะมีความยาวราว 20 นิ้วเท่านั้น และมีน้ำหนักตัวไม่ถึงกิโลกรัมดี ซึ่งครั้งหนึ่ง แม่หมีจะออกลูกได้ราว 2 ตัว ในบางครั้งอาจมากถึง 4 ตัว ลูกหมีเกิดใหม่ตาจะยังไม่ลืม และยังไม่มีขนปกคลุมตามลำตัว และจะลืมตาได้เมื่ออายุราว 33 วัน แต่เลนส์ตาจะยังใช้การไม่ได้เต็มที่จนเมื่อมีอายุประมาณ 47 วัน และประสาทหูจะได้ยินเมื่ออายุ 26 วัน แต่จะใช้การได้ดีที่สุดเมื่ออายุได้ 3 เดือน เมื่อลูกหมีอายุเข้า 6 สัปดาห์ครึ่ง ก็ตรงกับช่วงระยะเวลาที่ผ่านพ้นฤดูหนาวพอดี
สำหรับแม่หมีในช่วงนี้จะไม่กินอาหารเลย แต่จะใช้พลังงานจากไขมันที่สะสมไว้ แม้กระทั่งหมีตัวผู้ก็จะเข้าสู่ถ้ำเพื่อจำศีล เมื่อผ่านพ้นฤดูหนาวไปแล้ว หิมะและน้ำแข็งเริ่มละลาย แสงแดดกลับมาอีกครั้ง (เดือนมีนาคม-เมษายน) ซึ่งในช่วงนี้ หมีตัวเต็มวัยอาจจะกินหญ้าหรือมอสส์ เป็นอาหารรองท้องได้ ลูกหมีจะหย่านม แม่หมีจะพาลูก ๆ ตระเวนไปในที่ต่าง ๆ เพื่อสอนวิธีการล่าเหยื่อให้ ลูกหมีจะอยู่กับแม่จนอายุได้ขวบกว่าหรือสองขวบ จากนั้นจะจากแม่ไปเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่

สัญลักษณ์

หมีขาว ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศรัสเซีย



เรื่องที่น่าสนใจ

มหาสมุทรแปรซิฟิก

มหาสมุทรแปซิฟิก (อังกฤษ: Pacific Ocean - ตั้งชื่อโดย เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน ว่า Mare Pacificum เป็นภาษาละติน แปลว่า peaceful sea - จากภาษาฝรั่งเศส pacifique (ปาซีฟีก) หมายถึง "สงบสุข") คือ ผืนน้ำที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ประมาณ 180 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 1 ใน 3 ของพื้นที่ผิวทั้งหมดของโลก ความยาวในแนวลองจิจูดมีระยะทางประมาณ 15,500 กิโลเมตร จากทะเลเบริงในเขตอาร์กติกที่อยู่ทางเหนือจรดริมฝั่งทะเลรอสส์ในแอนตาร์กติกาที่อยู่ทางใต้ มหาสมุทรแปซิฟิกมีด้านที่กว้างที่สุดตามแนวตะวันออก-ตะวันตก อยู่ ณ บริเวณละติจูด 5 องศาเหนือ ด้วยความยาวประมาณ 19,800 กิโลเมตร จากอินโดนีเซียถึงชายฝั่งโคลอมเบีย สุดเขตด้านตะวันตก คือ ช่องแคบมะละกา จุดที่ลึกที่สุดในโลก คือ ร่องลึกมาเรียนา (Mariana Trench) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก จุดที่ลึกที่สุดวัดได้ 10,911เมตร(35,798 ฟุต)มหาสมุทรแปซิฟิกมีเกาะอยู่ประมาณ 25,000 เกาะ (มากกว่าเกาะในมหาสมุทรอื่น ๆ ที่เหลือรวมกัน) ส่วนใหญ่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรริมมหาสมุทรประกอบด้วยทะเลจำนวนมาก ที่สำคัญ คือ ทะเลเซเลบีส ทะเลคอรัล ทะเลจีนตะวันออก ทะเลญี่ปุ่น ทะเลจีนใต้ ทะเลซูลู ทะเลแทสมันและทะเลเหลือง ทางด้านตะวันตก ช่องแคบมะละกาเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย ส่วนทางด้านตะวันออก ช่องแคบมาเจลลันเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ผิวประมาณ 70,722,600 ตารางไมล์ ความเค็มประมาณ 33-37 ส่วนต่อพันส่วน กระแสน้ำที่สำคัญของมหาสมุทรแปซิฟิก คือ กระแสน้ำเย็นฮัมโบลต์ (เปรู) กระแสน้ำอุ่นศูนย์สูตร กระแสน้ำเย็นแคลิฟอร์เนีย กระแสน้ำอุ่นอะแลสกา และกระแสน้ำอุ่นคุโระชิโอะ (กุโรชิโว)

แหล่งที่มา